หน้าแรก
ข้อมูลสุขภาพ
เว็บ สุขภาพ
ร้านอาหาร เพื่อสุขภาพ
เว็บ โรงพยาบาล
เรื่องของตรงนั้น... ที่ชั้นใน
ข้อมูลสุขภาพ
สุขภาพใจ สุขภาพจิต
โรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
เบาหวาน
โคเลสเตอรอล
ไต
สุภาพสตรี
ผู้สูงอายุ
กระดูกและข้อ
ฟัน
โรคอ้วน
เฉพาะด้านอื่นๆ
สารอาหาร
ทั่วไป
 


อย่าเพิ่งงงว่าเรากำลังจะพูดถึงอะไรนะคะ แต่บอก เป็นนัยๆ แบบนี้คุณผู้หญิงก็คงเดากันได้...

เราเชื่อว่าคุณผู้หญิงทุกคนคงเคยสังเกตตัวเองบ้าง ว่าระหว่างวันของคุณนั้นอาจเจอร่องรอยบางอย่าง เปื้อนเปรอะบนกางเกงชั้นใน ที่บางคนเรียกว่า ระดูขาว นั่นเอง บางคนอาจสงสัยว่าเจ้ารอย ที่เห็นนั้นมันเป็นเรื่องปกติหรือไม่กันแน่ ครั้นจะ เอ่ยปากถามใครบางทีก็ไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ หรือจะไปถามคุณหมอก็อาจรู้สึกว่ายังไม่ใช่เรื่อง คอขาดบาดตายขนาดนั้น...อาจจะรบกวนเวลาของ คนไข้คนอื่นเสียเปล่าๆ (ข้อสำคัญคือไม่กล้าถามซะด้วย ...อายหมอ) ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ต้องขอบอกว่ายังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่สงสัย เช่นเดียวกัน ดังนั้นคราวนี้เราจะมาบอกเล่าเก้าสิบ ถึงเรื่องนี้กันค่ะ

ตามธรรมชาติแล้วผู้หญิงไม่ว่าจะยังสาวหรือสูงอายุทุกคนที่ถึงวัยมีประจำเดือนจะต้องมีระดูขาว หรือของเหลวที่ไหลมาจากช่องคลอด เป็นผลให้เกิดรอยเปื้อนเปรอะบนกางเกงชั้นในหรือแผ่นอนามัย จนสังเกตเห็นได้ แม้ยังไม่ถึงเวลาของรอบประจำเดือนก็ตาม ขณะที่ บางวันก็แห้งสะอาด ไม่มีอะไรผิดปกติ ส่วนใหญ่ลักษณะเป็นมูกใสๆ ไม่มีกลิ่น ปริมาณน้อย ซึ่งหยดมาจากคอมดลูกหรือผนังช่องคลอด ลักษณะนี้อาจเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับช่วงเวลาระหว่างรอบประจำเดือน อย่างเช่น ช่วงตกไข่ (ช่วงกลางๆ รอบเดือน) ลักษณะมูกอาจจะใสมากเนื่องจากการผลิตมูกมากขึ้น หรือคนที่รับประทานยาคุมกำเนิด กำลังตั้งครรภ์ หรือขณะเผชิญสิ่งเร้าทางเพศก็มีผลต่อลักษณะและปริมาณของสิ่งที่ร่างกายขับออกมาทางช่องคลอดได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะวัยทอง หรือระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ก็มีผลให้ร่างกายขับมูกที่ว่านี้ออกมาน้อยลงด้วย

ปกติแล้วช่องคลอดของผู้หญิงจะมีการทำความสะอาดตัวเองตามธรรมชาติ การที่ปล่อยมูกสีใสหรือขุ่นเล็กน้อยออกมาก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำความสะอาดนั่นเอง ถือว่าเป็นเรื่องปกติของร่างกายที่สมบูรณ์ แต่หากมูกที่ร่างกายขับออกมาทางช่องคลอดเป็นผลจาก ความผิดปกติของร่างกายล่ะก็ จะมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เช่น สี กลิ่น ผิดไปจากปกติ เช่น เป็นสีขาวขุ่นข้น สีอมเขียว อมเหลือง อมเทา หรือมีมูกเลือดเจือปน หรือมีกลิ่นเหม็น ซึ่งบางทีอาจเกิดพร้อมเป็นผื่นแดง เจ็บ แสบ หรือคัน

ปัจจัยหลักๆ ที่เป็นสาเหตุของอาการระคายเคืองรอบๆ ช่องคลอด และทำให้ของเหลวที่ขับออกมานั้นเปลี่ยนสี กลิ่น ปริมาณ รวมทั้ง ความเหนียวข้นนั้น ได้แก่ การติดเชื้อโรคต่างๆ นั่นเอง อาทิ ยีสต์ และเชื้อรา หากติดเชื้อยีสต์ มูกที่ออกมามักจะมีลักษณะเป็นก้อนหนา สีขาวขุ่นข้น จนดูคล้ายกับชีสสด อาจเกิดคู่กับการที่บริเวณช่องคลอด และปากช่องคลอดบวมแดง หากเป็นมากและไม่ได้รักษาจะทำให้คัน และแสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศได้

ส่วนเชื้อรานั้น ปกติบริเวณช่องคลอดเราจะมีราบางชนิดอาศัยอยู่ในปริมาณพอดีๆ ซึ่งไม่ทำให้เกิดอการผิดปกติอะไร เช่น เชื้อ Candida albicans หากเมื่อไรเชื้อรานี้เติบโตแพร่กระจายมากเกินปกติ ซึ่งมักเกิดระหว่างการตั้งครรภ์ หลังการกินยาประเภทแอนตี้ไบโอติกส์ กินยาคุมกำเนิด เป็นโรคเบาหวาน หรือเกิดความอับชื้น ซึ่งจะทำให้เกิดอาการคันและเป็นผื่นแดงบริเวณอวัยวะเพศ เชื้อรานี้มีโอกาสติดต่อกันได้ระหว่างคู่

นอกจากยีสต์หรือราแล้ว ในช่องคลอดเรายังเป็นที่อาศัยของเชื้อแบคทีเรียบางตัวด้วยเช่นกัน หากมีปริมาณมากเกินก็จะทำให้เกิดอาการผิดปกติ ซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น Lactobacillus, Gardnerella และ Peptostreptococcus แบคทีเรียมักพบในคนที่เป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ คนที่มีเพศสัมพันธ์แบบเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือคนที่ใช้ห่วงคุมกำเนิด ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นคือ อาจจะพบมูกหรือเมือก ที่ไหลจากช่องคลอดเป็นสีขุ่นเหลือง มีกลิ่นคาวปลา มีอาการคัน แสบร้อนเวลาปัสสาวะ หรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ ซึ่งสามารถรักษา ให้หายได้โดยใช้ยาประเภทแอนตี้ไบโอติคส์ โดยควรปรึกษาแพทย์ เชื้ออีกอย่างที่พบได้คือ ทริคอมโมนาส (Trichomonas) เป็นเชื้อปรสิตชนิดหนึ่ง หากติดเชื้อนี้จะสังเกตได้จากมูกที่หลั่งทาง ช่องคลอดจะออกเป็นลักษณะฟองสีเขียวอ่อนๆ เกิดอาการคัน และ เจ็บบริเวณนั้น บางครั้งอาจมีกลิ่นเหม็น แต่ไม่เสมอไป และเนื่องจากเชื้อทริคอมโมนาสนั้นเป็นปรสิตที่สามารถอาศัยในต่อมลูกหมากของผู้ชายได้ด้วย ดังนั้นคู่นอนของคุณผู้หญิงจึงควรหาทางป้องกันการติดเชื้อด้วย ซึ่งควรปรึกษาแพทย์

นอกจากนี้ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจเป็นสาเหตุของอาการคัน เจ็บบริเวณอวัยวะเพศ และมีเมือกหรือของเหลวหลั่งออกมาจาก ช่องคลอดได้ ซึ่งแบคทีเรียและไวรัสบางตัวก็อาจแพร่ไปถึงผู้อื่นได้อีกด้วยวิธีอื่น เช่น เชื้อ HIV หรือไวรัสตับอักเสบ ที่สามารถติดต่อทางการให้เลือด ให้นมลูก หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ดังนั้นทางที่ดีเมื่อรู้ตัวว่ามีอาการเตือนต่างๆ จึงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างทันท่วงที

หากคุณผู้หญิงที่สังเกตเห็นร่องรอยของระดูขาวผิดปกติ นอกจากควรไปปรึกษาแพทย์แล้ว ก็ควรดูแลตัวเองดังนี้

 
•
ใช้ยาจนหมดตามแพทย์สั่ง
 
•
หลีกเลี่ยงความอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้น โดยไม่สวมกางเกงรัดแน่นเกินไป หรือใช้กางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายธรรมชาติที่จะระบายความอับชื้นได้ดีกว่ากางเกงที่ทำจากวัสดุใยสังเคราะห์
 
•
หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์ น้ำหอม แป้ง สบู่ที่มีน้ำหอมมาก หรือมีสารเคมีเจือปน
 
•
หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยที่ผสมน้ำหอม
 
•
หลีกเลี่ยงการใช้ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ฯลฯ ที่ผสมน้ำหอมแรงๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ เป็นสาเหตุของการระคายเคือง
 
•
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหยุดยา เพื่อป้องกัน การติดต่อไปยังคู่นอน และป้องกันการระคายเคืองแทรกซ้อน
 
•
หากใช้ยาไปสักระยะแล้วอาการต่างๆ ยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์อีกครั้ง และเว้นการทายาบริเวณช่องคลอดก่อนพบแพทย์ประมาณ 48 ชั่วโมง
 
•
สำหรับคนที่อยู่ในช่วงก่อนหมดประจำเดือน หรือหลังหมดประจำเดือนแล้ว อาจทำให้ผนังช่องคลอดบางลงและแห้ง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการเจ็บ แสบ หรือคันเวลามีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งการปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าเดิม กรณีนี้อาจปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ฮอร์โมนเสริมเอสโตรเจน และวิธีปฏิบัติตัวที่เหมาะสม

เพื่อสุขภาพของตัวเราเอง อย่ามัวอายเมื่อสังเกตเห็นอาการ ผิดปกติที่ ตรงนั้น ของ ชั้นใน นะคะ ใกล้หมอไว้ปลอดภัย กว่าค่ะ...

 
       
    แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday  
   
ข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
 
ปรับชีวิตให้สมดุลทุก 10 ปี
 
ตรวจภายในไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
 
มดลูกอักเสบ
 
   
 
 
Copyright © 2007 - 2009 by yourhealthyguide.com All rights reserved.