สำหรับผู้ที่หลงใหลชื่นชอบอาหารเวียดนามแล้วละก็ เมื่อเอ่ยถึงชื่อร้าน FIFTY FIFTY หรือ ร้าน 50-50 อาจจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้างพอสมควร เพราะร้าน 50-50 เขาเปิดขายอาหารเวียดนามมานมนานแล้ว มีสาขาอยู่ก็มากหลาย แต่ก็ใช่ว่าร้านนี้จะมีดีแค่อาหารเวียดนามเท่านั้น เพราะรสชาติก็ดีไม่เบา ร้านที่ สาขาวิภาวดี เน้นการตกแต่งร้านแบบ โล่ง โปร่งสบาย สร้างบรรยากาศให้เหมือนมานั่งกินข้าวที่บ้านยังไงยังงั้น แถมมีคาราโอเกะไว้คอยบริการสำหรับผู้ที่รักการร้องเพลงได้ประลองฝีปากกัน
สำหรับอาหารจานแรกที่สั่งมาก็คือ ปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบ (220 บาท) ความพิเศษของปลาจานนี้อยู่ตรงที่ทางร้านคัดปลาเนื้ออ่อนสดๆ นำมาทอดให้เหลืองกรอบ มีข้าวเหนียวชุบแป้งปรุงรสทอดเป็นเครื่องเคียง ทีเด็ดเมนูนี้อยู่ที่ต้องกินปลาคู่กับข้าวเหนียวทอดที่กรอบนอกนุ่มใน พร้อมๆ กับ จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วมะเขือเทศสีดาสูตรเด็ดของทางร้าน ซึ่งรสชาติจะออก หวาน เค็ม เผ็ด กินเพลินปากเอามาก เมนูต่อมาเป็น ปลาตะไคร้สไตล์ 50-50 (150 บาท) ทีเด็ดเมนูนี้อยู่ที่ทางร้านนำเอาปลาตาเดียวมาแล่เอาแต่เนื้อ แล้วนำมาหมักกับเครื่องเทศและคลุกกับแป้ง ทอดให้เหลืองกรอบ ส่วนโครงปลาที่เหลือก็นำมาชุบแป้งและดัดให้เป็นทรง นำมาเป็นกระทงใส่ปลาดูกิ๊บเก๋ เมื่อตักปลาใส่ปากก็จะได้รสชาติของเนื้อปลาที่สด หอมตะไคร้ เคี้ยวกรอบกรุบกรับปากนัก ยิ่งกินจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด 3 รสยิ่งเพิ่มความแซบมากขึ้นไปอีก จากปลาไปต่อไป เนื้อสันในย่างจิ้มแจ่ว (100 บาท) จานนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนชอบกินเนื้อ เพราะทางร้านได้นำเอาเนื้อสันที่ติดมันนิดๆ มาหมักกับเครื่องเทศเป็นวันๆ เพื่อให้เนื้อนุ่ม ซึ่งเมื่อย่างออกมาก็ไม่ผิดหวัง เพราะเนื้อนั้นเคี้ยวนุ่มนัก กินเข้ากันดีกับน้ำจิ้มแจ่วรสแซบที่ทางร้านนำเสนอเคียงคู่มา กินของแห้งมามาก ขอสลับอารมณ์ไปซดน้ำร้อนๆ กับ ฟองดูปลา (180 บาท) จิ้มจุ่มสไตล์เวียดนาม ที่เลือกยกปลามาลงหม้อ เท่าที่เห็นก็มี ปลากะพงแดง ปลาเก๋า ปลาคัง แล่มาเป็นแผ่นบางๆ เมื่อลวกกินเนื้อปลาจะหวานนุ่มไร้คาว เพราะความสด ทางร้านมีน้ำจิ้ม 2 แบบมาให้เลือกกินกันคือ น้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัด และ น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวเค็มมัน ซึ่งใครจะเลือกจิ้มแบบไหนก็แล้วแต่ความคุ้นลิ้นคุ้นปาก แต่ยังไงก็อย่าลืมซดน้ำซุปร้อนๆ ตาม เพราะว่ารสชาติเขาทำได้กลมกล่อมซดคล่องคอนัก ปิดท้ายมือด้วยอาหารจานเดียวอย่าง ข้าวมันส้มตำไทย (45 บาท) ความชวนกินของเมนูนี้อยู่ที่ ข้าวมันนั้นทางร้านเลือกใช้วิธีการหุงแบบโบราณ โดยใช้น้ำกะทิหุงแทนน้ำเปล่า ข้าวมันที่ออกมาจึงหอม หวาน นุ่มลิ้น (เหมือนข้าวเหนียวมูลยังไงยังงั้น) เมื่อกินควบคู่กับส้มตำไทย และเครื่องเคียงอย่างหมูและเนื้อแดดเดียว รสชาติจะกลมกล่อมลงตัวเข้ากันดีมากๆ กินแค่ 5 อย่างนี้ก็ทำเอาพุงกางแล้ว แต่ว่าถ้าใครยังมีพื้นที่ในกระเพาะเหลือเฟือจะเลือกสั่งอาหารเมนูเด่นของทางร้าน อย่างเช่น เมี่ยงคะน้า ยำปลาญวน ก๋วยเตี๋ยวหลอดเวียดนาม มากินก็เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง โดยหนึ่งในเคล็ดลับอาหารรสชาติดีของ 50-50 อยู่ที่ อาหารทุกเมนูจะ ไม่มีการใส่ผงชูรสเป็นอันขาด
รายละเอียดเกี่ยวกับร้าน 50-50
สำหรับผู้ที่หลงใหลชื่นชอบอาหารเวียดนามแล้วละก็ เมื่อเอ่ยถึงชื่อร้าน FIFTY FIFTY หรือ ร้าน 50-50 อาจจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้างพอสมควร เพราะร้าน 50-50 เขาเปิดขายอาหารเวียดนามมานมนานแล้ว มีสาขาอยู่ก็มากหลาย แต่ก็ใช่ว่าร้านนี้จะมีดีแค่อาหารเวียดนามเท่านั้น เพราะรสชาติก็ดีไม่เบา 
สำหรับอาหารจานแรกที่สั่งมาก็คือ ปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบ (220 บาท) ความพิเศษของปลาจานนี้อยู่ตรงที่ทางร้านคัดปลาเนื้ออ่อนสดๆ นำมาทอดให้เหลืองกรอบ มีข้าวเหนียวชุบแป้งปรุงรสทอดเป็นเครื่องเคียง ทีเด็ดเมนูนี้อยู่ที่ต้องกินปลาคู่กับข้าวเหนียวทอดที่กรอบนอกนุ่มใน พร้อมๆ กับ จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วมะเขือเทศสีดาสูตรเด็ดของทางร้าน ซึ่งรสชาติจะออก หวาน เค็ม เผ็ด กินเพลินปากเอามาก 
เมนูต่อมาเป็น ปลาตะไคร้สไตล์ 50-50 (150 บาท) ทีเด็ดเมนูนี้อยู่ที่ทางร้านนำเอาปลาตาเดียวมาแล่เอาแต่เนื้อ แล้วนำมาหมักกับเครื่องเทศและคลุกกับแป้ง ทอดให้เหลืองกรอบ ส่วนโครงปลาที่เหลือก็นำมาชุบแป้งและดัดให้เป็นทรง นำมาเป็นกระทงใส่ปลาดูกิ๊บเก๋ เมื่อตักปลาใส่ปากก็จะได้รสชาติของเนื้อปลาที่สด หอมตะไคร้ เคี้ยวกรอบกรุบกรับปากนัก ยิ่งกินจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด 3 รสยิ่งเพิ่มความแซบมากขึ้นไปอีก 
จากปลาไปต่อไป เนื้อสันในย่างจิ้มแจ่ว (100 บาท) จานนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนชอบกินเนื้อ เพราะทางร้านได้นำเอาเนื้อสันที่ติดมันนิดๆ มาหมักกับเครื่องเทศเป็นวันๆ เพื่อให้เนื้อนุ่ม ซึ่งเมื่อย่างออกมาก็ไม่ผิดหวัง เพราะเนื้อนั้นเคี้ยวนุ่มนัก กินเข้ากันดีกับน้ำจิ้มแจ่วรสแซบที่ทางร้านนำเสนอเคียงคู่มา 
ปิดท้ายมือด้วยอาหารจานเดียวอย่าง ข้าวมันส้มตำไทย (45 บาท) ความชวนกินของเมนูนี้อยู่ที่ ข้าวมันนั้นทางร้านเลือกใช้วิธีการหุงแบบโบราณ โดยใช้น้ำกะทิหุงแทนน้ำเปล่า ข้าวมันที่ออกมาจึงหอม หวาน นุ่มลิ้น (เหมือนข้าวเหนียวมูลยังไงยังงั้น) เมื่อกินควบคู่กับส้มตำไทย และเครื่องเคียงอย่างหมูและเนื้อแดดเดียว รสชาติจะกลมกล่อมลงตัวเข้ากันดีมากๆ 
