|       
        
       ปัญหานี้ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ    แต่บางคนก็เริ่มเป็นตั้งแต่อายุไม่มากนัก ทำให้มีอาการเวียนศีรษะเป็นๆหายๆ    อาจมีบ้านหมุน  โคลงเคลง คลื่นไส้อาเจียน บางครั้งเป็นมากอาจต้องนอนนิ่งๆ หลับตา    ถ้าลืมตาหรือพลิกตัว อาจมีอาการเวียนศีรษะมากขึ้นมาทันที 
      ปกติการควบคุมการทรงตัวของร่างกาย ไม่ให้โคลงเคลงหรือเซ    จะต้องประกอบไปด้วยระบบต่างๆ ที่ดี  ดังต่อไปนี้ 
      
        
          |   | 
          1.  | 
          อวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน   เป็นอวัยวะรูปครึ่งวงกลม ตั้งฉากซึ่งกันและกัน มีขนาดเล็กมาก   ทำหน้าที่รับรู้การเคลื่อนไหว ของศีรษะทุกทิศทาง  | 
         
        
          |   | 
           | 
          การมองเห็น จะคอยปรับการรับรู้สิ่งแวดล้อม โดยภาพที่เห็น  | 
         
        
          |   | 
          3.  | 
          ระบบประสาท ได้แก่   ระบบประสาทรับความรู้สึก ที่จะรับรู้ว่าขณะนี้ร่างกายกำลังอยู่ในท่าทางใด   ตลอดจนสมองน้อย ซึ่งควบคุมการทรงตัวของร่างกายเรา | 
         
        
          |   | 
          4.  | 
          ระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อ   ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ของผู้สูงอายุ ที่ทำให้การทรงตัวไม่ดี เช่น   ข้อเข่าเสื่อม โก่งผิดรูป  กระดูกสันหลังโก่ง เอียง  เป็นต้น | 
         
       
      ผู้สูงอายุ จะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบเหล่านี้ จากอายุที่มากขึ้นทำให้มี การเสื่อมสภาพของอวัยวะทรงตัว ในหูชั้นใน    การมองเห็นที่ลดลงจากโรคตาต่างๆ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน เป็นต้น   ระบบประสาทรับรู้ เริ่มทำงานลดลง กล้ามเนื้อและข้อต่อ มีปัญหา มีโรคข้อเสื่อมเป็นต้น   จึงทำให้การทรงตัวไม่ดี 
      ปัจจัยอื่นที่ทำให้ผู้สูงอายุ เสียการทรงตัวเร็วขึ้น 
      
        
          |   | 
          1.  | 
          โรคที่มีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต  ทำให้เกิดการตีบของหลอดเลือด   เลือดไหลไปเลี้ยงอวัยวะทรงตัวหูชั้นในได้ไม่ดี   หรือไปเลี้ยงสมอง ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัวไม่เพียงพอ    ตัวอย่างโรคเหล่านี้ได้แก่ โรคเบาหวาน  โรคความดันโลหิตสูง  โรคหัวใจ เป็นต้น | 
         
        
          |   | 
           | 
          โรคที่มีผลต่อการทำงาน ของระบบประสาทการรับความรู้สึก    ทำให้ระบบประสาท ไม่สามารถรับความรู้สึกได้ว่า ร่างกายกำลังอยู่ในท่าทางใด เช่น   โรคเบาหวาน โรคไตวาย เป็นต้น | 
         
        
          |   | 
          3.  | 
          โรคที่มีผลต่อกล้ามเนื้อและกระดูก   จะทำให้การทรงตัวแย่ลง  แต่ไม่มีอาการเวียนศีรษะ เช่น ข้อเสื่อม   หรือเคยมีกระดูกหักมาก่อน เป็นต้น  | 
         
        
          |   | 
          4.  | 
          โรคของหูต่างๆ  อาจทำให้หูทำงานแยาลง เช่น   หูน้ำหนวก โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นต้น  | 
         
        
          |   | 
          5.  | 
          โรคอื่นๆ เช่น ซีด โรคต่อมธัยรอยด์   เป็นต้น  | 
         
       
      การดูแลรักษาอาการเวียนศีรษะ 
         
        ก่อนอื่นก็ต้องหาสาเหตุของ อาการเวียนศีรษะก่อนว่าเกิดจากอะไร   โดยไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกาย  ในบางรายอาจต้องตรวจเพิ่มเติมอย่างอื่น เช่น   ตรวจเลือด ตรวจหูและการได้ยิน ตรวจเอ็กซเรย์สมอง   ซึ่งคงต้องแล้วแต่ผู้ป่วยแต่ละรายไป 
         
        สำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการเดินเซ   เวียนศีรษะ มึนงง ไม่ควรให้ท่านนั่ง หรือนอนอยู่แต่เพียงอย่างเดียว   แต่ควรให้ได้เดิน และทำกิจวัตรประจำวันด้วย   แต่ต้องมีญาติคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือท่านเป็นบางครั้ง   แต่ไม่ต้องช่วยพยุงเดินตลอดเวลา   เพราะจะทำให้ผู้สูงอายุนั้น อาจไม่สามารถเดินเองได้อีกต่อไป  
         
        สำหรับการรักษาประกอบไปด้วยการรักษา 3 วิธีใหญ่ๆ คือ 
      
        
          |   | 
          1.  | 
           การใช้ยา  ซึ่งยาที่ใช้มีหลายชนิดด้วยกัน   ข้อควรระวังสำหรับการใช้ยาเหล่านี้คือ ไม่ควรใช้ยาเหล่านี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน   เพราะจะทำให้การปรับตัวตามธรรมชาติ เพื่อลดอาการเวียนศีรษะถูกกดโดยยา   ทำให้มีอาการเวียนศีรษะเรื้อรัง   นอกจากนั้น ยาเหล่านี้บางครั้ง อาจทำให่ผู้สูงอายุง่วงซึม และเกิดอาการแข็ว เกร็ง สั่น   เหมือนที่พบในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันได้  | 
         
        
          |   | 
           | 
           การผ่าตัด   ใช้ในผู้ป่วยส่วนน้อย และเป็นโรคที่แพทย์พิจารณาแล้วว่า การผ่าตัดทำให้อาการดีขึ้น | 
         
        
          |   | 
          3.  | 
          การทำกายบริหาร   เป็นสิ่งที่มักจะไม่ได้ทำและถูกมองข้ามไป    การทำกายบริหารจะลดอาการ เวลาเกิดการเวียนศีรษะขึ้น และทำให้หายเร็วขึ้น   ใช้ในกรณีที่เป็นมานานเกิน 1-2 เดือน การทำกายบริหารนี้หมายถึง   การทำกายบริหารสายตา และกล้ามเนื้อคอ   การทำกายบริหารในท่าที่เวียน และการทำกายบริหารทั่วไป  ซึ่งจะต้องทำครั้งละอย่างน้อย   15-30 นาทีขึ้นไป ทำบ่อยๆ วันละกี่ครั้งก็ได้  แต่ต้องอดใจรอผลประมาณ 1-2   สัปดาห์ขึ้นไป กว่าจะเห็นผล สำหรับท่ากายบริหารลองปรึกษาแพทย์ดูนะครับ | 
         
       
       
          นพ. วีรศักดิ์  เมืองไพศาล  
       |