หน้าแรก
ข้อมูลสุขภาพ
เว็บ สุขภาพ
ร้านอาหาร เพื่อสุขภาพ
เว็บ โรงพยาบาล
อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ
ท่องเที่ยว วันหยุด
ท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์
ท่องเที่ยว เชิงนิเวศ
ท่องเที่ยว ข้อมูล อุทยานแห่งชาติ
 


วันที่ 18 สิงหาคม เป็น วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ของไทยเรา สงสัยกันไหมว่าทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย...
       

ก็เพราะว่าในวันที่ 18 สิงหาคม เมื่อปี พ.ศ.2411 มีสิ่งที่สำคัญเกิดขึ้น คือเป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จมาทอดพระเนตร เหตุการณ์สุริยุปราคา ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงคำนวณวันเวลา ของการเกิดสุริยุปราคา ด้วยพระองค์เอง และคำนวณไว้ล่วงหน้าถึงสองปี โดยไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว

จึงนับเป็นพระปรีชาสามารถ ในด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านดาราศาสตร์ ของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้พระองค์ได้รับยกย่องให้เป็น พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย และต่อมาคณะรัฐมนตรี จึงยกให้วันนี้เป็น วันวิทยาศาสตร์ของไทยด้วยประการฉะนี้ และ
       
้่หากได้มาที่ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้ว สิ่งที่ไม่ควรพลาดชมเลย ก็คือ อาคารดาราศาสตร์และอวกาศ เพราะถือเป็นจุดกำเนิด ของอุทยานฯ แห่งนี้เลยทีเดียว
       
หลังจากที่แวะสักการะ พระบรมราราชานุสาวรีย์ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่อาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ที่เห็นด้านหน้าเป็น อาคารทรงสูงเหมือนหอดูดาว อาคารนี้ใช้จัดแสดง เกี่ยวกับนิทรรศการ ทางด้านดาราศาสตร์ อวกาศ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกัน และมีชื่อเรียกคล้องจองกันว่า พันทิวาทิตย์ พันพินิจจันทรา และดาราทัศนีย์
       
เริ่มต้นการชมกันที่ อาคารดาราทัศนีย์ กันก่อน ลักษณะของอาคารนี้ เป็นทรงสูงเท่ากับตึกเจ็ดชั้น ด้านในเป็นบันไดเวียนค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปด้านบน รวมทั้งมีนิทรรศการ เกี่ยวกับพัฒนาการทางดาราศาสตร์ แนวคิดของปราชญ์ในสมัยโบราณ ที่เกี่ยวกับดวงดาว และหากเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด ก็จะสามารถชมวิวรอบๆ อุทยานฯ ได้ด้วย

จากอาคารดาราทัศนีย์ มีทางเดินเชื่อมไปยัง อาคารพันพินิจจันทรา เมื่อผ่านเข้าไปก็จะพบกับ พระบรมรูปของรัชกาลที่ 4 ที่ทำจากไฟเบอร์กลาส อยู่ในท่าประทับยืน รวมทั้งยังมีอุปกรณ์ ที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ ของรัชกาลที่ 4 อย่างเช่นแผนที่ดาว และกล้องส่องดูดาวของพระองค์ด้วย นอกจากนั้น ภายในอาคารแห่งนี้ ยังเป็นที่จัดแสดงเรื่องราว ของดาราศาสตร์ในยุคสมัยต่างๆ ของไทย เริ่มจากยุคสุโขทัย อยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์
       
จากนั้น ก็มาท่องอวกาศกันใน อาคารพันทิวาทิตย์ เรียนรู้เรื่องราวของ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ที่เราคุ้ยเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ฯลฯ แล้วก็ยังมีการจำลอง บรรยากาศของดาวอังคาร ฝาแฝดของโลกมาให้ดูกันด้วย
       
ขึ้นชื่อว่าเป็น อุทยาน วิทยาศาสตร์ ก็ย่อมไม่ได้มีแค่เรื่องราว เกี่ยวกับดาราศาสตร์ ให้เราได้ชมกันเพียงเท่านั้น เพราะยังมีสิ่งที่น่าสนใจ ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ นี้อีกแห่งหนึ่งก็คือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ ที่แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โต หรือมีปลาแพงๆ มากมายเท่ากับ สยามโอเชียนเวิลด์ที่กรุงเทพฯ อันโด่งดัง แต่ก็มีดีไม่แพ้กัน ที่สำคัญเข้าชมฟรี

สำหรับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่นี่ ก็ก่อสร้างมาไม่นานนัก ตัวอาคารก่อสร้างเสร็จในปี พ.ศ.2545 และจากนั้นก็ได้จัดสร้างนิทรรศการ และจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ให้ความรู้แก่ผู้เข้าชมมาตลอด
       
ภายในพิพิธภัณฑ์ ก็มีการจัดแสดงนั้นแบ่งเป็น 6 ส่วนด้วยกัน เราไปชมพร้อมๆ กันในแต่ละส่วนเลยดีกว่า เริ่มจากส่วนแรก อัศจรรย์โลกสีคราม ที่เป็นการปูพื้น ก่อนเข้าชมในพิพิธภัณฑ์ ด้วยเรื่องของการกำเนิด ของสิ่งมีชีวิตในทะเล และมีการให้ความรู้ เกี่ยวกับระบบนิเวศที่หลากหลาย ของจังหวัดประจวบฯ ด้วย

ในส่วนถัดไป เป็น จากขุนเขาสู่สายน้ำ ให้ความรู้เกี่ยวกับ ระบบนิเวศแหล่งต้นน้ำ ป่าต้นน้ำ และมีพันธุ์ปลาน้ำจืดให้ดูกันด้วย แม้จะอยู่ติดทะเลก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นปลากะโห้ ปลาแรด หรือปลาชะโด ฯลฯ ก้าวเข้าสู่ห้องต่อไปเลยอย่ารอช้า ในส่วนของ สีสันแห่งท้องทะเล นั้น จัดแสดงเรื่องเกี่ยวกับป่าชายเลน หาดทราย หาดหิน และพันธุ์ปลาทะเลต่างๆ ตรงส่วนนี้ค่อยมีสีสันขึ้นมาหน่อย เพราะมีการจำลองเอาปะการังใต้ทะเล มารวมไว้กับเจ้าปลาเหล่านี้ด้วย
       
มาถึงส่วนถัดไป ที่เป็นไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์กันแล้ว กับส่วนของ เปิดโลกใต้ทะเล ที่จัดแสดงให้ดูใต้ทะเลลึก ในรูปแบบของตู้ปลาขนาดใหญ่มาก หรือที่เรียกว่า Big Tank เราสามารถเดินลงบันไดวน ไต่ระดับความลึกลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับได้ดูปลามากมาย ภายในตู้ปลายักษ์นี้ ทั้ง ปลากระเบน ปลากะพง ปลานกขุนทอง และอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนที่ว่าเป็นไฮไลท์นั้น ก็อยู่ตรงที่อุโมงค์ใต้ทะเล ยาวประมาณ 15 เมตร จำลองบรรยากาศ ให้เหมือนอยู่ใต้ทะเลลึก เขาบอกว่าอุโมงค์ใต้ทะเลที่แรกในประเทศไทยนั้น ก็อยู่ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอนี่แหละ
       
และสิ่งที่พิเศษและเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ ที่มาชมก็คือ จะมีมนุษย์กบ มาสาธิตการให้อาหารปลา ในอุโมงค์ปลาและใน Big Tank ตอนช่วงสิบเอ็ดโมง และบ่ายสองโมงของทุกวัน เพราะฉะนั้น หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์จนเกือบๆ สิบเอ็ดโมง

อยู่ใต้ทะเลกันมานาน คราวนี้ออกมาสู่แสงสว่างกันบ้าง ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ แสดงตัวอย่างสัตว์น้ำ อย่างพวกหอย ปะการัง กัลปังหา เม่น ปลาดาว ฯลฯ และส่วนของกิจกรรมปฏิบัติการ ที่เด็กๆ สามารถสัมผัสตัวปลาได้ เช่น ปลิงทะเล ปลาดาว แมงดาทะเล เป็นต้น
       
และนอกจากแหล่งเรียนรู้ ทั้งสองที่กล่าวมานี้แล้ว ในอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้าฯ ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เช่น สวนผีเสื้อที่มีผีเสื้อพันธุ์พื้นเมืองนานาชนิด ให้ได้ชมในบรรยากาศของสวนอันร่มรื่น แถมมีน้ำตกจำลอง ให้พักผ่อนหย่อนใจกันด้วย

รายละเอียดเกี่ยวกับอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ

ที่ตั้ง : หมู่ 4 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เปิดให้เข้าชมทุกวันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในเวลา 09.00-16.00 น.
การเดินทาง :
รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพ สามารถขับรถโดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 (สายธนบุรี ปากท่อ) ผ่านจังหวัดสมุทรสงคราม แล้วเลี้ยวซ้ายสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านจังหวัด เพชรบุรี และอำเภอหัวหิน มุ่งสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมระยะทาง 281 ก.ม. จากนั้นเดินทางต่อไปยัง อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัด ไปทางทิศใต้ประมาณ 10 ก.ม.
   
สอบถามรายละเีอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 032-661726, 032-661098

 

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 สิงหาคม 2549

 
       
    แหล่งข้อมูล : www.manager.co.th  
   
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
 
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติบางป
 
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน
 
ดงบัง - หมู่บ้านท่องเที่ยวสมุนไพร
 
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า
 
สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช
 
   
 
 
Copyright © 2007 - 2009 by yourhealthyguide.com All rights reserved.